Review : Asus ZenBook Pro Duo โน้ตบุ๊กสุดทรงพลัง
ที่มีหน้าจอสัมผัสไม่ได้แค่หนึ่งแต่มากถึงสอง !!
สวัสดีครับเพื่อนๆชาว TechXcite วันนี้เราจะมารีวิวโน้ตบุ๊ก Asus ZenBook Pro Duo UX581 โน้ตบุ๊กตัวใหม่จาก Asus ที่จะมาเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโน้ตบุ๊กของหลายๆคนได้แน่นอน ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่เจ๋งสุดๆหลายตัวอย่าง touch Screen ที่สามารถเปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ด NumberPad หน้าจอระบบสัมผัสกับที่เหนือสุดๆคือหน้าจอ”สองหน้าจอ”ที่มากับตัวเองไม่ต้องต่อหน้าจอเพิ่มเติมแต่อย่างไร และนี้ไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่ Asus ZenBook Pro Duo ทำได้เรามาดูกันว่าแต่ละจุดมีลูกเล่นอะไรน่าสนใจบ้าง
เอาละครับเรามาดูดีไซน์ Asus Zenbook Pro Duo UX581
ดีไซน์สวยหรู ดูเรียบง่าย ออกแบบมาเพื่อรองรับกับการใช้งานระดับโปร ตัวเครื่องมาพร้อมกับขนาดที่ไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป พอเหมาะพอเจาะสำหรับไซส์ทำงานจริงจัง วัสดุที่ใช้เป็นอลูมิเนียม จอภาพบางเฉียบด้วยเทคโนโลยี NanoEdge Display ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K UHD (3840 x 2160) OLED TouchScreen
นอกจากนี้ยังมาพร้อมหน้าจอรองขนาด 14 นิ้ว ที่ความละเอียด 4K (3840 x 1100) พาเนล IPS แบบจอด้าน รองรัการใช้งาน TouchScreen และปากกา Stylus
ตัวขอบเงางาม ตัดขอบแบบ Diamond Cutting
ฝาหลังเป็นอลูมิเนียม สีฟ้า Celestial Blue เล่นลวดลายวงกลมล้อมรอบโลโก้ ASUS ที่ขยับมาทางขวา
การจัดวางตำแหน่งคีย์บอร์ด ในส่วนของรุ่นนี้ทำคล้าย Asus ROG Zephyrus S ที่ขยับตัวคีย์บอร์ดลงมาอยู่ด้านล่างสุด และขยับ TouchPad มาไว้ด้านข้าง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ใช้งาน ใช้งานได้ไม่ค่อยถนัดมือนัก
การตอบสนองต่อการกดของแป้นพิมถือว่าทำได้ดีมีไฟ LED สีขาว ดูเรียบหรู
ประสิทธิภาพการทำงานของเวิร์กโฟลว์และการออกแบบมีเอกลักษณ์ด้วย ASUS ScreenPad ™ Plus ที่ทำงานร่วมกับหน้าจอหลัก 4K UHD OLED ก็ทำได้อย่างราบรื่น เหมาะกับการใช้งานโปรแกรมหนักๆ
สองหน้าจอเพื่อเปิดมิติการใช้งานแบบใหม่
ข้อดีแรกนี้เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของความเจ๋งที่ Asus ZenBook Pro Duo จะมอบให้กับผู้ใช้งานเพราะปกติแล้วทางเลือกของชาวโน้ตบุ๊กที่จะใช้สองจอคือการต่อหน้าแยกซึ่งค่อนข้างจะวุ่นวายต่างจาก PC ตั้งโต๊ะซึ่งสามารถจัดวางหน้า คีย์บอร์ด เมาส์ได้อย่างอิสระไม่ต้องกลัวชนกันแต่ด้วยหน้าจอ ScreenPad Plus นี้มอบความรู้สึกใช้งานได้คล้ายกันเลย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปรแกรม สองโปรมแกรมแยกหน้าจอ การเปิดโปรแกรมใช้งานแบบได้ถึงสองหน้าจอเพื่อความสะดวกในการใช้งาน
ซึ่ง ScreenPad Plus ของ ZenBook Pro Duo แม้จะมีขนาดเล็กกว่าหน้าจอปกติแต่สามารถเปิดแบ่งได้ถึง 3 ส่วนๆใหญ่หรือพูดง่ายๆว่าเปิดใช้งานพร้อมกันได้ถึง 4 โปรแกรมเลยทีเดียว
นอกจากนี้ตัวหน้าจอ ScreenPad Plus นี้ยังช่วยให้การทำงานตัดต่อต่าง ๆ นั้นง่ายขึ้นไปอีก เพราะเราสามารถโยกเอาพวกเครื่องมือต่าง ๆ มาไว้บนหน้าจอเสริมด้านล่างได้ด้วย ทำให้การแสดงผลการทำงานต่าง ๆ บนจอหลักนั้นเต็มตามากขึ้น ตรงนี้น่าจะเหมาะกับเพื่อน ๆ ที่ชอบใช้งานพวก Lightroom หรือ Premiere ที่มีไอคอนเยอะ ๆ พอแบ่งจอแบบนี้ก็ช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้นเยอะเลยล่ะ
หน้าจอสัมผัสที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
ยังไม่จบกับเรื่องหน้าจอ เพราะทั้งหน้าจอและ ScreenPad Plus นั้นสามารถใช้งานได้ทั้งจากการรับคำสั่งจากเมาส์และจากมือของเราเอง! ไม่พอทาง Asus ยังแถมปากกาให้อีกด้วยซึ่งปากกานี้สามารถใช้งานวาดรูปได้อีกต่างหาก เป็นทางเลือกให้กับชาวสาย Digital Paint สุดๆ อยากทำงานข้างนอกสตูแค่ยกเครื่องนี้ไปทำงานได้ทันที ไม่ต้องแบก Pad ไปให้ลำบาก
พอร์ตการเชื่อมต่อ
พอร์ตการเชื่อมต่อทั้งหมดนั่นมี USB 3.1 Gen 2 x2 พอร์ท, HDMI x1 พอร์ท, Audio Jack แบบ combo 1 พอร์ท, Thunderbolt 3 USB-C x1 พอร์ท
ด้านซ้าย - USB 3.1 Gen 2 x1 พอร์ท, HDMI 2.0 x1 พอร์ท และช่องเสียบ DC-in
ด้านขวา - USB 3.1 Gen 2 x1 พอร์ท, Thunderbolt 3 x1 พอร์ท และ combo audio jack
Touch pad แบบใหม่เพื่อประโยชน์ใช้งานสูงสุด
เนื่องจาก ScreenPad Plus ที่เพิ่มให้มาทำให้พื้นที่ของคีย์บอร์ดต้องถูกเอาลงมาทำให้ไม่เหลือพื้นที่ให้กับ Touchpad แต่หากเอาออกก็ต่างจากจุดประสงค์ของโน้ตบุ๊กที่ทำงานด้วยตัวเอง ทาง Asus ก็มีทางออกใหม่ให้กับ ZenBook Pro Duo ด้วย NumberPad เวอร์ชั่นล่าสุดของ ซึ่งเป็นทั้ง Numpad และ Touchpad ให้ใช้งานได้ทั้งสองรูปแบบโดย การใช้งานนั้นเพียงแค่กดปุ่มด้านบนขวาก็จะสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานสลับให้ง่ายนิดเดียว และยังสามารกดมุมบนด้านซ้ายเพื่อปรับความสว่างของ NumberPad ให้เข้ากับการใช้งาน
จะแบบใหม่หรือเก่า Ergolift ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ด้วยจุดเด่นของ Asus ที่เน้นการให้ประสบการณ์ใช้งานให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน เทคโนโลยี Ergolift ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการใช้งานอื่นๆนอกจากการพิมพ์ ทำให้เครื่องทำมุม 4 องศา ซึ่งแตกต่างจาก Zenbook รุ่นอื่นๆ
หมดกังวลเรื่องลืมรหัสเข้าเครื่องด้วยระบบล็อคอินด้วยใบหน้า
ด้วยฟังค์ชั่นอัจฉริยะจากกล้อง IR Cam ประจำเครื่องที่สามารถผู้ใช้งานสามารถปลคล็อคเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้า โดยกล้องมีระบบอินฟราเรดชื่อว่า Windows Hello ทำให้แม้จะอยู่ในที่เมื่อเราก็ยังสามารถล็อคอินเข้าเครื่องได้
รับฟังพลังเสียงระดับคมชัด ด้วย ASUS SonicMaster
ในส่วนของเสียงก็ทำออกมาได้ดีมาก ทั้งดูหนังฟังเพลง ด้วย ASUS SonicMaster ทำให้ได้พลังเสียงออกมาเหมือนราวกับดูอยู่ในโรงหนัง โดยการออกเเบบลำโพงที่ให้ออกมาได้ทุกมุม ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล้เเค่ไหน เวลาเปิดเสียงในห้องเงียบๆก็ฟังแบบลำโพงตั้งเองได้เพลินเลยทีเดียว
Alexa และ Cortana ระบบ AI ที่จะตอบสนองความต้องการของเรา
ระบบ AI ที่จะตอบรับคำสั่งเสียงของเราที่มีชื่อเสียงอย่าง Siri กำลังของที่มาในอนาคตซึ่งทาง Asus ก็ได้ออกตัว AI แบบนี้ชื่อว่า Alexa และ Cortana มาให้บนเครื่อง ZenBook Pro Duo ด้วย โดย ZenBook Pro Duo จะมีแถบแสงเฉพาะที่สว่างขึ้นเมื่อคุณพูดกับ Alexa,Cortana ลองถามแล้วทาง AI จะตอบทันที ซึ่งทำได้หลายอย่างทั้งเล่นดนตรี อ่านข่าว ตอบคำถามและอื่น ๆ
สไตลัสที่แถมมาเพื่อการทำงานเต็มรูปแบบ
สไตลัสหรือฐานรองพิเศษที่แถมมาเพื่อจัดเต็มให้กับการใช้งานด้านจอขึ้นไปอีก ซึ่งฐานรองนี้ไม่ได้ติดอยู่กับเครื่องแต่แยกออกมา ซึ่งทำหน้าที่รองแขนของเราระหว่างใช้งานซึ่งเหมาะกับการใช้งานทุกแบบ ปัญหาเล็กน้อยคือขนาดที่ค่อยข้างใหญ่ที่อาจในการพกพาไปกับเครื่อง
สเปคของ Asus Zenbook Pro Duo UX581
-
CPU : Intel Core i9-9980H / i7-9750H **(ตัวที่รีวิว)**
-
GPU : NVIDIA GeForce RTX 2060
-
RAM : DDR 4 8GB / 16GB / 32GB **(ตัวที่รีวิว)**
-
Storage : SSD PCIe 512GB / 1TB **(ตัวที่รีวิว)**
-
Display : 15.6″ 4k UHD (3840 x 2160) OLED Touchscreen
-
ScreenPad Plus : 14″ 4K (3840 x 1100) IPS
การใช้งาน
ด้านการทำงาน Asus Zenbook Pro duo นั้นทำออกมาได้ดีเลยในเรื่องของความสามารถในการทำงานทั้งในเรื่องของการใช้งานสองหน้าจอ แม้จะแอบห่วงในตอนแรกเพราะว่าไม่เคยเห็นการใช้งานเครื่องโน็ตบุ๊คกับหน้าจอสองหน้าอาจจะหนักสำหรับเครื่อง แต่พอได้ลองใช้กลับไม่มีปัญหาเรื่องของความแลคเลยใช้งานโปรแกรม ClipStudio พร้อมกับดูรูปภาพ Ref ผ่าน 2 จอแล้วเปิดเพลงก็ทำได้ไม่มีอะไร แต่อย่างที่กะเอาไว้ก็คือมีปัญหาเรื่องเครื่องร้อนเพราะการทำงานแบบนี้ยังไงก็หนักเครื่องอยู่ดี แต่แม้ว่าจะเครื่องจะร้อนแต่ก็ทำงานต่อได้ ไม่ได้มีอาการแลคหรืออะไรให้เครียด อีกเรื่องคือแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ 3-4 ชมซึ่งถ้าดูจากฟังก์ชั่นแต่ละจุดกับการกินไฟก็ดูสมเหตุสมผลอยู่
ในส่วนของ ASUS Pen ยังที่เเถมมาให้กับตัวเครื่องอีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นใช้งานพื้นฐานที่ดี ทั้งในเรื่องของการรับแรงกดทำให้การลงน้ำหนักทำได้ดีเหมาะแก่การวาดรูป หรือจะเป็นเรื่องปุ่มกดซ้ายขวาของ ASUS Pen ก็มีมาให้เรียบร้อยซึ่งลองๆดูสายวาดรูปต้องหาโอกาสทดลองให้ได้เพราะการที่มีสองจอทำให้เราสามารถดู reference ขณะที่วาดไปได้อีกด้วย แถมหัวปากกาก็เป็นแบบหัวแหลม เหมาะกับการวาดมาก ๆ
รับประกันเลยสำหรับการใช้งานด้านกราฟฟิกเเละวาดรูป ประสิทธิภาพมาเต็ม !!
สำหรับสายเกมเครื่อง ZenBook Pro Duo ก็นำมาใช้เล่นเกมได้ดีเหมือนกันโดยจากการทดลองเล่นกับเกม ‘’Overwacth‘’ พบว่าปรับกราฟฟิก Ultra FPS อยู่ประมาณที่ 70 ตัวจอ OLED ก็ทำให้ภาพเเละเเสงที่ประมวลผลออกมาสีสดเเละสวยมากๆ ส่วนตัวอุณภูมิของแต่อุณภูมิของเครื่องก็ค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว เอามือไปโดนนี้มีสะดุ้ง(ฮา) ที่สะดวกคือเราสามารถปิดหน้าจอ ScreenPad Plus ได้ด้วยไม่ต้องกลัวว่าหน้าจอที่สองจะมาสร้างภาระอย่างเผลอลากเมาส์ลงจอข้างล่างและยังทำให้เครื่องร้อนน้อยลงอีกด้วย
ข้อดี
-
หน้าจอสองจอทำได้ดีไม่มีปัญหา เปิดโอกาสทำงานรูปแบบใหม่ในโน้ตบุ๊กมากๆ
-
ระบบสัมผัสหน้าจอ
-
Touch ขนาดกลางพอดีและยังใช้เป็น Numpad ได้
-
แสดงผลโปรแกรมได้ไม่ซ้อนกัน 4 หน้าจอ
-
ระบบ AI คำสั่งเสียง
-
ตั้งค่าส่วนสำคัญๆอย่างพัดลมหรือหน้าจอ Duo ง่ายๆด้วย ปุ่มลัด
-
Ergolift ยกเครื่องให้สะดวกต่อการใช้งาน
-
ใช้งานกับโปรแกรมใหญ่ๆอย่าง Sai หรือ Adobe ต่างได้ดี
ข้อสังเกต
-
Touchpad แบบใหม่ทำให้สับสนได้ง่ายเวลาใช้
-
ไม่มีช่องเสียบ SD Card
-
หน้าจอ Duo มีขนาดเล็ก ทำให้แขนมีโอกาสไปโดนปุ่มคีย์บอร์ด
-
ระวังเครื่องร้อนจากการใช้งานหนักเป็นเวลานาน
สรุป
Asus ZenBook Pro Duo เป็นเครื่องที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้ใช้โน้ตบุ๊กในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือพักผ่อน หน้าจอ Duo ที่ทำให้การทำงานตัดต่อ เอกสาร หรือวาดภาพก็ทำแยกกันได้ชัดเจนตามแต่ใจเราต้องการ (ใครอยู่มหาลัยแอบเปิดเกมเล่นในจอ ScreenPad Plus ก็เนียนอยู่นะ) อีกทั้งยังสั่งจากระบบสัมผัสได้อีก สะดวกต่อการยกไปทำงานข้างนอก และฟังก์ชั่นสนับสนุนหลายๆอย่างเช่นระบบสั่งการด้วยเสียง หรือ touchpad ที่มีลูกเล่นใช้เพลินๆ ในส่วนของดีไซน์ก็ทำออกมาได้ดีมี Ergolift ให้และยังเรียบเนียนไม่หวือหวา ไฟ Led เป็นสีขาวทำให้ใช้ทำงานได้นานๆสบายตาแม้จะในที่มืด ส่วนของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ 3-4 ชม. ก็จริงแต่นั้นคือเวลาเปิดทุกอย่างตามปกติ ถ้าปิดหน้าจอ ScreenPad Plus หรือฟังก์ชั่นอื่นๆก็อาจเยื้อเวลเพิ่มได้แล้วแต่การใช้งานแต่ละคน
ในส่วนของใครที่สนใจก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.นี้ร้านค้าชั้นนำทั่วไป โดยสนนราคาค่าตัวอยู่เริ่มต้นที่ (รุ่นที่รีวิว) 89,990 บาท และรุ่นท็อปสุดที่ 109,990 บาทครับผม !