Amazfit เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ที่มาพร้อมดีไซน์ทรงกลมและสี่เหลี่ยมรุ่นที่ 2 ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว และก็ถึงเวลาอันสมควรที่จะอัพเดตรุ่นใหม่ครับ โดยสิ้นสุดการรอคอยพร้อมเปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่เพิ่มเป็น 3 รุ่น เพราะปีนี้จะมีรุ่น Pro เพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งทั้ง 3 รุ่นมีบางองค์ประกอบที่แชร์ร่วมกันครับ โดยประกอบไปด้วยดังนี้
Amazfit GTR 3 Pro
รุ่นแรกไปดูกันที่ Amazfit GTR 3 Pro รุ่นนี้มาพร้อมแชสซีทรงกลมทำจากโลหะผสมอะลูมิเนียมเกรดอากาศยาน และมีน้ำหนักเพียง 32 กรัม ด้านบนเป็นกระจกโค้ง โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่นรายรัดหนังสีน้ำตาล ที่มีตัวเรือนสีเทาอ่อน และ Infinite Black ที่มีตัวเรือนสีเทาเข้มและสายรัด fluoroelastomer สีดำ
Amazfit GTR 3 Pro มีจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็น 1.45 นิ้ว มีความคมชัดมากขึ้นด้วยที่ 331 ppi และสว่างมากสูงสุดที่ 1,000 nits มาพร้อมกรอบที่แคบ อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 70.6% ซึ่งหมายความว่านาฬิกามีขนาดเดียวกับรุ่น GTR 3 และนอกจากนี้ อัตราการรีเฟรชของหน้าจอยังเพิ่มขึ้น 67%
คุณสามารถเลือกหน้าปัดนาฬิกาได้กว่า 150 แบบ มี Always On Display และบางหน้าปัดผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ เช่น เลือกวิดเจ็ตที่จะแสดง อัตราการเต้นของหัวใจ จำนวนก้าว สภาพอากาศ ฯลฯ
ที่บอดี้นาฬิกามี 2 ปุ่มกด โดยปุ่มบนสุดจะเป็นเม็ดมะยม ที่คุณสามารถใช้เพื่อเลื่อนดูเมนูและการแจ้งเตือนที่ยาวขึ้นได้
นาฬิกา Amazfit รุ่นนี้มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Zepp OS ซึ่งมีอินเทอร์เฟซที่ปรับปรุงใหม่ ที่แม้ไม่ได้ทรงพลังเท่า Wear OS แต่ก็รองรับแอปของบุคคลที่สามซึ่งทำงานบนเฟรมเวิร์กแอปที่ออกแบบมาเพื่อลดการใช้พลังงาน และหนึ่งใน 10 แอปที่มีอยู่แล้วจะสามารถทำงานร่วมกับ Home Connect ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมแบบข้ามแบรนด์ได้
และตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสร้างชุดพัฒนาแอปบนเว็บ ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถสร้างหน้าปัดนาฬิกา หรือแม้แต่แอปของตนเองได้ (พร้อมคำแนะนำให้คุณตลอดกระบวนการ) ซึ่งเมื่อพัฒนาแอปของตนเองแล้ว ก็สามารถแชร์ให้เพื่อนได้ด้วย ทำให้คุณจึงสามารถแบ่งปันผลงานสร้างสรรค์ของคุณกับผู้อื่นและเพลิดเพลินกับการสร้างสรรค์ของพวกเขาได้เช่นกัน
นาฬิกาสามารถซิงค์ข้อมูลสุขภาพที่ติดตามกับ Apple Health และ Google Fit นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับแอปยอดนิยม เช่น Strava, Relive, RunKeeper และอื่นๆ แต่การสนับสนุนบางส่วนอาจจะไม่สามารถใช้ได้ตอนเปิดตัวครับ แต่จะมีเพิ่มเข้ามาในอนาคตอันใกล้นี้แทน
สำหรับคุณสมบัติด้านสุขภาพที่กำลังติดตาม นาฬิการองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และการติดตามออกซิเจนในเลือด (SpO2) การวัดระดับออกซิเจนในเลือดใช้เวลาเพียง 15 วินาที ถือว่าเร็วกว่ารุ่นเดิมมาก รวมถึงการติดตามการนอนหลับจะตรวจสอบระยะต่างๆ ของการนอนหลับ และสามารถตรวจจับการงีบหลับระหว่างวันได้ คุณยังสามารถเปิดใช้งานตัวเลือกที่จะติดตามการหายใจของคุณในขณะที่คุณนอนหลับได้อีกด้วย
Amazfit GTR 3 Pro มีโหมดกีฬามากกว่า 150 โหมด กันน้ำได้ 5 ATM คุณจึงสามารถใส่ว่ายน้ำได้อย่างสบายใจ และเป็นครั้งแรกที่สามารถติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะอยู่ในสระได้
นอกจากนี้ยังรองรับการระบุตำแหน่งดาวเทียมตามกลุ่มดาวหลัก 5 กลุ่ม ซึ่งเพิ่มเวลาล็อคตำแหน่ง 20% และเพิ่มความแม่นยำ 40% นาฬิกาสามารถติดตาม VO2 Max, Pace เมื่อเทียบกับการวิ่งครั้งก่อน, เวลาพักฟื้นเต็มที่ และอื่นๆ
นาฬิกามีไมโครโฟนและลำโพงในตัว คุณจึงสามารถรับสายได้ และคุณยังสามารถคุยกับ Alexa ของ Amazon ได้ด้วยเช่นกัน และสามารถใช้งานผู้ช่วยแบบออฟไลน์ ซึ่งตอนนี้ยังทำได้ที่ภาษาอังกฤษ สเปน และเยอรมันเท่านั้น โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
และแม้ว่าตัวนาฬิกาจะขาดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ต้องอาศัยโทรศัพท์ของคุณ) คุณยังมีที่เก็บข้อมูลภายใน 2.3GB ทำให้คุณสามารถโหลดเพลงหรือพอดแคสต์บางรายการเพื่อฟังขณะออกกำลังกายภายนอกได้โดยไม่ต้องพกโทรศัพท์
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ 12 วันสำหรับการใช้งานปกติ สามารถติดตาม GPS ต่อเนื่องได้นาน 35 ชั่วโมง หรือจะใช้โหมดประหยัดแบตเตอรี่เพื่อยืดเวลาระหว่างการชาร์จเป็น 1 เดือนเต็มได้
Amazfit GTR 3
ต่อมาเป็น Amazfit GTR 3 ที่ใช้ดีไซน์บอดี้อะลูมิเนียมเหมือนกับรุ่น Pro แม้ว่าจอแสดงผลจะเล็กกว่าเล็กน้อยที่ 1.39 นิ้ว แต่ก็มีความหนาแน่นของพิกเซลใกล้เคียงกันสำหรับแสดงภาพที่คมชัด และสามารถให้ความสว่างถึง 1,000 นิตที่น่าประทับใจได้ มีขอบจอที่หนาขึ้นเล็กน้อย อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 66%
นาฬิกามีให้เลือกในสี Thunder Black และ Moonlight Grey พร้อมสายรัดซิลิโคน มีหน้าปัดนาฬิกาให้เลือกกว่า 100 แบบ และมี Always On Display ด้วยเช่นกัน
Amazfit GTR 3 จะไม่ใช่สมาร์ทวอทช์รุ่นถูกกว่าตัว Pro เท่านั้นครับ เพราะจะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีกว่า คือสามารถใช้งานได้นานถึง 21 วันในการใช้งานทั่วไป หรือใช้งานหนัก 10 วัน และเมื่อใช้โหมดประหยัดพลังงาน จะใช้งานได้สูงสุด 35 วัน และนาฬิกายังมีเครื่องรับ GPS และสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 35 ชั่วโมง
Amazfit GTS 3
สุดท้าย Amazfit GTS 3 มาพร้อมหน้าจอสี่เหลี่ยม ทำให้สามารถแสดงการแจ้งเตือนได้มากกว่าหน้าจอกลม รวมถึงรุ่นนี้มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นด้วย คือจากเดิม 1.65 นิ้วเป็น 1.75 นิ้ว มีความหนาแน่นของพิกเซลที่ 341 ppi และอัตราส่วนบอดี้ต่อหน้าจอที่ 72.4% ทำให้จอแสดงผลนี้มีความคมชัด ขนาดที่ใหญ่ที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีความสว่างสูงสุด 1,000 นิตและมีโหมด Always On Display
Amazfit GTS 3 มีจำหน่ายในสี Graphite Black, Terra Rosa และ Ivory White นาฬิกามีน้ำหนักเบาเพียง 24.4 ก. และบางมากด้วย 8.8 มม. (ไม่นับการส่วนที่ยื่นออกมาของเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ)
อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานแบตเตอรี่จะเท่ากับ GTR 3 Pro ที่ 12 วันสำหรับการใช้งานโดยทั่วไป และ 6 วันสำหรับการใช้งานหนัก ส่วนโหมดประหยัด จะได้ที่ 24 วัน และการติดตามด้วย GPS อย่างต่อเนื่องจะใช้ได้ที่ 20 ชั่วโมง
และโปรดทราบว่า Amazfit GTR 3 และ GTS 3 ไม่มีลำโพงในตัวครับ จึงไม่สามารถรับสายสนทนาได้ นอกจากนี้ยังไม่มีที่จัดเก็บเพลงในตัวสำหรับสองรุ่นนี้
นาฬิกาสามเรือนเปิดตัวในวันนี้ และจะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และจีน เป็นกลุ่มแรก โดยราคาของทั้ง 3 รุ่นจะมีดังนี้ Amazfit GTR 3 Pro เปิดราคาที่ 230 ดอลลาร์ หรือประมาณ 7,800 บาท ขณะที่ Amazfit GTR 3 และ GTS 3 มีราคาเท่ากัน ที่ 180 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6,100 บาท
source: gsmarena